28 August 2015
สวัสดีค่ะ แฟนคลับคุณหมอวีซ่าทุกท่าน สองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ คุณหมอวีซ่ามีข่าวดีอยากจะมาบอกกล่าวเล่าสู่กันฟังอยู่เยอะแยะหลายเรื่อง แต่ขอแชร์สักสองเรื่องที่สร้างความตื่นเต้นและดีใจให้กับทีมงานของคุณหมอวีซ่าเป็นอย่างยิ่ง และทั้งสองกรณีก็เป็นกรณีที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการ
ได้รับคำแนะนำที่ดีๆทางวิชาชีพที่ถูกต้อง ทำให้ถึงกับเปลี่ยนอนาคต เปลี่ยนแนวทาง และวิถีชีวิตของคนหลายๆคน หรือทั้งครอบครัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมประหยัดทั้งเวลาและเงินทอง ไม่ต้องยื่นวีซ่าผิดแล้วผิดเล่า บ้างที่แย่กว่านั้นก็คือ โดนปฏิเสธวีซ่ามาซ้ำซ้อน กว่าจะมาถึงมือคุณหมอวีซ่า บางครั้งก็สายเกินแก้แล้วก็หลายเคสอยู่ค่ะ จริงๆแล้ว ตามกฎหมายของออสเตรเลีย การยื่นฟอร์มวีซ่าต่างๆไม่ต้องอาศัยตัวแทน ก็สามารถยื่นฟอร์มเองได้ แต่จุดที่สำคัญก็คือ ผู้ยื่นหลายท่านไม่มีความเข้าใจในกฎหมาย คุณสมบัติ หรือ eligibility ของตนเองว่ามีสิทธิ์ที่จะได้รับอนุมัติวีซ่าตัวที่ตนอยากได้ไหม หรือการจัดเอกสารต้องจัดอย่างไรให้ตรงตามที่เจ้าหน้าที่ต้องการให้ครบถ้วน หากไม่มีโอกาสได้วีซ่านั้นๆ หรือไม่ตรงตามนโยบายของรัฐบาล ก็อาจต้องเปลี่ยนยื่นเป็นวีซ่าตัวอื่นที่ตนเองมีโอกาสเข้าข่ายและผ่านวีซ่าได้ หรือต้องมีการเตรียมตัวอย่างไรให้เข้าข่ายได้ในอนาคต เป็นต้น การตอบคำถามก็มีความสำคัญ หากเราตอบไม่ตรง แทนที่จะเป็นผลดี ก็อาจส่งผลลบเด้งกลับมาให้ได้ สำหรับเจ้าหน้าที่อิมมิเกรชั่น แน่นอนที่สุด ก็ย่อมชอบให้เรายื่นเอกสารให้ครบถ้วน ตอบคำถามตรงและครบถ้วนอยู่แล้ว หากเราปฏิบัติทุกอย่างให้ถูกต้อง ตรงตามนโยบายและกฎหมาย ไม่ติดเรื่องสุขภาพหรือสันติบาล คุณหมอวีซ่าว่าโอกาสที่จะได้วีซ่าก็สูงแน่นอนค่ะ
เยี่ยงอย่างเคสของลูกค้าที่แสนดีของคุณหมอวีซ่า 2 รายที่เพิ่งจะผ่านวีซ่าตัวใหญ่ๆไป 2 ตัวสดๆร้อนๆกันทั้งครอบครัว ที่กว่าจะถึงขั้นยื่นวีซ่า ก็ได้ผ่านการปรึกษาแล้วปรึกษาอีก สิ่งใดที่คุณหมอวีซ่าไม่สามารถให้คำตอบได้ทันที ก็จะไปค้นคว้าหาคำตอบที่ถูกต้องมาให้ แต่พอหลังยื่น วีซ่าก็ผ่านเร็วมากจากการตามงานติดๆของทีมงานคุณหมอวีซ่า และความร่วมมือเป็นอย่างดีจากลูกค้าในการจัดหาเอกสารตามที่ขอมาให้:
เริ่มต้นจากกรณีของคุณติ๊กกับลูกๆที่ได้ผ่านวีซ่าคู่ครองหรือ Partner Visa (sc 820) โดยพ่วงลูก 2 คนเป็นผู้ติดตามจนประสบผลสำเร็จ
ความจริงโดยทั่วไปแล้ว การยื่นวีซ่าคู่ครองของคุณพ่อหรือคุณแม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่ายโดยพ่วงลูกเป็นผู้ติดตาม ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกและมีการทำมานานแล้ว แต่สำหรับกรณีของคุณติ๊กที่คุณหมอวีซ่าอยากนำมายกเป็นตัวอย่างในวันนี้ (โดยได้รับอนุมัติจากคุณติ๊กมาเรียบร้อยแล้ว) ก็คือ เป็นกรณีที่พิสูจน์ให้เห็นว่า
การได้รับคำแนะนำที่ดีๆและถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพนั้น มีความสำคัญมากเพียงใดต่อการวางแผนชีวิตของตัวเรากับคนที่เรารักโดยเฉพาะลูกๆ ถึงขั้นที่เรียกว่ามีการเปลี่ยนแปลงอนาคตและวิถีทางดำเนินชีวิตไปโดยสิ้นเชิงเลย
เรื่องของคุณติ๊กก็คือ จู่ๆวันนึง คุณติ๊กก็ตัดสินใจขับรถทางไกลตรงมาขอพบ
และปรึกษากับคุณหมอวีซ่าเกี่ยวกับวีซ่าของตนเองที่ยื่นไปตั้งนมนานแล้ว แต่ไม่เห็นเจ้าหน้าที่ผ่านหรือติดต่อมาสักที ก็เลยเริ่มกังวลใจ ในวันที่พบกันนั้น คุณติ๊กขอให้คุณหมอวีซ่าช่วยตามเคสให้หน่อย เพราะไม่ทราบติดขัดสิ่งใด ทำไมถึงไม่ผ่านสักที
พอดีในวันที่คุณติ๊กมาพบคุณหมอวีซ่านั้น มีลูกสาววัย 23 (อายุเกิน 18 ปีแล้ว) มาเป็นเพื่อนด้วย คุณหมอวีซ่าก็เลยถามเล่นๆว่าน้องถือวีซ่าอะไรอยู่ในออสเตรเลีย ปรากฏว่าเป็นวีซ่านักเรียน ซึ่งโดยทั่วไปคุณพ่อคุณแม่หลายๆท่าน
มักจะไม่มีความรู้ตรงนี้ว่าลูกที่อายุเกิน 18 ปีแล้วก็ยังสามารถพ่วงกับพ่อแม่เป็น ผู้ติดตามได้ โดยต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กฎหมายเรียกร้อง พอได้ PR มา ลูกก็จะไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนในอัตราของนักเรียนนานาชาติอีกต่อไป กลับได้สิทธิ์เหมือนผู้ถือวีซ่าถาวรในออสเตรเลียเหมือนคุณพ่อคุณแม่ คุณหมอวีซ่าจึงได้ถามประวัติของลูกสาว แล้วก็ไปทราบว่าคุณติ๊กเองก็มีลูกชาย
อีกคนหนึ่งอายุต่ำกว่า 18 ปีอยู่ในประเทศไทย โดยลูกชายนั้น ก็สามารถทำพ่วงวีซ่าคู่ครองของคุณติ๊กได้อีกเช่นกัน เพียงแต่น้องคนเล็กนี้ตัวยังอยู่เมืองไทย ณ เวลานั้น และคุณแม่กับพี่สาวอยู่ออสเตรเลีย ก็จะต้องมีขั้นตอนที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง
หลังจากได้สอบถามประวัติของคุณแม่และลูก 2 คนโดยละเอียดแล้ว คุณหมอวีซ่าก็ มาพบว่าลูก 2 คนมีสิทธิ์ที่จะพ่วงคุณแม่ได้ในเวลาเดียวกันทั้งๆที่ลูกคนหนึ่งอยู่ออสฯ อีกคนอยู่ไทย จึงไม่ล่าช้า และได้ทำการติดต่อเจ้าหน้าที่อิมมิเกรชั่นไปทันที โดยที่ทุกอย่างได้ทำเป็นลายลักษณ์อักษร หลังจากได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ว่าทำได้ (บังเอิญได้เจ้าหน้าที่ใจดี) และหลังพูดคุยต่อรองผ่านทางโทรศัพท์ เจ้าหน้าที่ก็ยินดีที่จะชะลอเรื่องของคุณติ๊กออกไป เพื่อเปิดโอกาสให้ทีมงานของคุณหมอวิซ่าจัดการเรื่องการพ่วงและเพิ่มลูก 2 คน เสียบเข้าไประหว่างการเดินเรื่องคุณติ๊กได้ แค่นี้พวกเราก็ดีใจมากแล้ว ที่เจ้าหน้าที่ยอมเปิดโอกาสครั้งนี้ให้ จึงเริ่มดำเนินการโดยไม่ล่าช้า
ในการดำเนินการครั้งนี้คุณหมอวีซ่าก็มาพบว่าเอกสารที่คุณติ๊กเคยยื่นเข้าไปก็ไม่ครบถ้วนที่จะให้เจ้าหน้าที่ผ่านอนุมัติวีซ่าคู่ครองให้ได้ ก็เลยต้องจัดการตรงนี้ให้เรียบร้อยก่อน แล้วก็ได้มีการจัดเตรียมให้น้องคนเล็กทำวีซ่าเดินทางเข้ามาในออสเตรเลีย เพื่อมา join พี่สาวกับคุณแม่ที่นี่ จากนั้นก็มีการจัดเอกสารประกอบและฟอร์มที่เกี่ยวข้องจนครบกวน ซึ่งในกระบวนการตรงนี้ทั้งคุณติ๊กและทีมงานของคุณหมอวีซ่าได้ร่วมมือกันทำงานเป็น
อย่างดี เหน็ดเหนื่อยไม่เบา แต่ก็คุ้มค่ะ เพราะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ปรากฏว่า
อิมฯได้ผ่านอนุมัติวีซ่ามาให้ทั้งคุณแม่ ลูกสาว และลูกชาย ทำให้ครอบครัวได้อยู่ร่วมกันในออสเตรเลียได้อย่างมีความสุข คุณหมอวีซ่าก็ขอแสดงความยินดีกับคุณติ๊กและครอบครัวด้วยอีกครั้งนะคะ
ที่นำเรื่องของคุณติ๊กมาเขียนในวันนี้ จุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่การยื่นวีซ่าคู่ครอง แต่เป็นตัวอย่างที่ดีที่ให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายตระหนักถึงความสำคัญของการที่ได้ผู้เชี่ยวชาญเสนอกลยุทธ์และวิธีในการทำวีซ่าที่ถูกต้องโดยอาศัยความรู้และประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญในการช่วยวางแผนที่ดีและถูกต้องตามกฎหมายและนโยบายของรัฐบาล ในกรณีเช่นนี้คุณหมอวีซ่าได้ช่วยให้ลูกสาวของคุณติ๊กไม่ต้องถือวีซ่านักเรียนอีกต่อไป หากแต่ได้วีซ่าที่ดีกว่าก็คือเป็นผู้ติดตามของคุณแม่ในวีซ่า 820 ช่วยให้น้องมีสิทธิ์เรียนฟรีใน TAFE หรือมหาวิทยาลัยต่างๆได้ แถมสามารถทำงานได้เต็มเวลา และสามารถเรียน part time ได้ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์อันเข้มงวดของวีซ่านักเรียนอีกต่อไป แถมยังมีสิทธิ์ที่จะได้ Medicare หาหมอรักษาโรค เข้าโรงพยาบาลฟรี ได้อีก ส่วนน้องคนเล็กก็สามารถที่จะเข้าเรียนในโรงเรียน high school ของออสเตรเลียได้โดยไม่ต้องชำระค่าเล่าเรียนใดๆ ตลอดจนจบมหาวิทยาลัย นอกจากจะเรียนฟรีแล้วยังมีสิทธิ์ใช้รถโดยสารมีฟรีในการเดินทางไปโรงเรียนทุกวัน ทั้งยังมีสิทธิ์ได้ Medicare card เหมือนกับพี่สาว ฟรี อีกเช่นกัน น้องอยากทำงานขึ้นมาก็มีสิทธิ์ที่จะทำงานได้เกิน 40 ชั่วโมงต่อ 2 สัปดาห์ ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขของวีซ่านักเรียนอีกต่อไป
คุณหมอวีซ่ายังจำได้ว่า หลังจากจัดเตรียมเอกสารเพิ่มเติมให้คุณติ๊กเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ที่ทำเคสของคุณติ๊ก ก็อยากจะให้ปิดเคสของคุณติ๊กอย่างไวไว โดยอยากให้เราหันไปทำเรื่องของลูกพ่วงตามมาทีหลัง แต่เพื่อผลประโยชน์ของคุณติ๊กกับครอบครัว คุณหมอวีซ่าก็ยืนยันว่าให้เขารอนิดหนึ่งในระหว่างที่เราเตรียมเอกสารของลูกๆให้ครบ และในที่สุดความพยายามของเราก็ประสบความสำเร็จเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคุณติ๊กกับลูกที่น่ารักทั้ง 2 คน ก็ได้รับวีซ่าที่ออกมาพร้อมๆกันทั้ง 3 คน เป็น sc820 ซึ่งเป็นขั้นแรกของวีซ่า 801 ที่เป็น PR แต่ก็ได้สิทธิเหมือน PR ทุกประการ นำความปลื้มปิติยินดีให้กับครอบครัวของคุณติ๊กและทีมงานของคุณหมอวีซ่าเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือครอบครัวของคุณติ๊กให้ได้อยู่ร่วมกัน และข้ามฝั่งไปสู่เส้นทางอนาคตที่ดีกว่าในครั้งนี้ คุณหมอวีซ่าเองเองก็ขอแสดงความยินดีกับคุณติ๊กกับครอบครัวอีกครั้งนะคะ
กรณีที่ 2 ที่คุณหมอวีซ่าอยากจะแสดงความยินดี ก็คือเป็นกรณีของ…
การผ่านวีซ่านักลงทุน Significant Investors Visa (SIV sc188-888) ของลูกค้า VIP ของคุณหมอวีซ่าอีกรายหนึ่ง ซึ่งวีซ่าตัวนี้มีคนไทยทำกันน้อยมาก เนื่องจากจะต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 5 ล้านเหรียญออสเตรเลีย เพื่อแลกกับหนทางสู่วีซ่าถาวร (PR) กล่าวคือ พอวีซ่าผ่าน ผู้ยื่นก็จะได้วีซ่าชั่วคราวที่เรียกว่า subclass 188 ถือไปเป็นเวลา 4 ปีก่อน และต้องรักษา portfolio การลงทุนไว้ในออสเตรเลียตลอดทั้ง 4 ปี โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นรายปี หรือรายกี่เดือนก็ตามแต่ที่ตกลงกับบริษัทเงินทุนที่ดูแลหลักทรัพย์ของเรา หลังพ้น 4 ปี ผู้ยื่นก็มีสิทธิ์ที่จะข้ามฝั่งไปถือวีซ่าถาวร subclass 888 ซึ่งเป็น PR ได้ และจากนั้น ก็มีสิทธิ์ถอนเงินคืนได้ แต่จากสถิติแล้ว ปกตินักลงทุนจากประเทศจีน ฮ่องกง มาเลย์เซีย เวียดนามก็มักจะเอาเงินมาลงเพิ่มมากกว่า เพราะได้ผลตอบแทนดีกว่าที่บ้านเขาเยอะ จากตารางที่คุณหมอวีซ่านำมาลงไว้ให้ดูนี้:
The table below shows the distribution of primary visa applications and visa grants for the top five source countries for the SIV.
Applicants for top five source countries | Percentage of total visa applications | Grants for top five source countries | Percentage of total visas granted |
China | 90.2 | China | 88.7 |
Hong Kong | 3.0 | Hong Kong | 3.3 |
Malaysia | 1.2 | Malaysia | 1.5 |
South Africa | 0.8 | South Africa | 1.1 |
Vietnam | 0.5 | Japan | 0.7 |
จะเห็นว่า ณ เดือนมีนาคม 2015 ที่ผ่านมา ยังไม่มีสถิตินักลงทุนจากประเทศไทยขึ้นให้เห็นเลย แต่เคสคุณหมอวีซ่าผ่านฉลุยไปแล้ว เมื่อ August 2015 ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาพิจารณาเพียง 2.5 เดือน ทั้งๆที่โดยปกติตาม standard processing time เป็น 9 เดือน โดยได้วีซ่าครบกันทั้งครอบครัว ทั้งนี้ อาจจะด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุผลอื่นๆก็เป็นไปได้ ที่จะเห็นได้ว่ามีนักลงทุนจากประเทศไทยเริ่มหันมาให้ความสนใจ
วีซ่าตัวนี้กันมากขึ้น ซึ่งในความเห็นของคุณหมอวีซ่า เรียกว่าเป็นวีซ่าที่ดีมากสำหรับนักลงทุนที่พร้อมที่จะ invest ให้กับครอบครัว ให้กับคนที่เขารักและห่วงใยที่สุดในชีวิต อีกทั้งเงินที่ลงทุนใน Complying Investment ก็ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของรัฐบาลออสเตรเลีย จึงมีความเสี่ยงน้อยลง แถมได้ผลตอบแทนดีกว่าเอาไปลงทุนในประเทศอื่นๆ โดยผลตอบแทนอยู่ที่อัตราระหว่าง 5 ถึง 15% ขณะที่ในประเทศไทยเท่าที่คุณหมอวีซ่าไปสอบถามจากธนาคาร
ที่เมืองไทยแห่งหนึ่งมาเมื่อเร็วๆนี้ ปัจจุบันผลตอบแทนอยู่ที่เพียง 0.5 – 2% ยิ่งช่วงนี้ หลังมีเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ หุ้นในเมืองไทยก็ตกอย่างแรง นักลงทุนในเมืองไทยก็หัวปั่นกันเป็นแถวๆเช่น
หรือวีซ่าทักษะตามโครงการของ SkillSelect ของออสเตรเลีย (ที่ปัจจุบันผ่านกันยากผ่านกันเย็นนัก) แต่มีเงิน ก็สามารถเก็บวีซ่าตัวนี้ไว้พิจารณาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกได้เช่นกัน ยกตัวอย่างลูกหลานชาวจีนที่พ่อแม่มีเงินมีทอง สามารถให้ลูกเป็นเงินลงทุนถึงจำนวน 5 ล้านเหรียญ ฝากไว้ 4 ปี ก็ข้ามฝั่งไปเป็น PR ได้ หรือยิ่งกว่านั้นในปัจจุบันมีวีซ่าตัวใหม่ที่เรียกว่า Premium Investors Visa หรือ PIV ที่สามารถใช้เงินลงทุนถึง 15 ล้านเหรียญ ลงทุนไว้เป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นก็สามารถที่จะข้ามฝั่งไปถือวีซ่าถาวร หรือ PR ได้เลยเช่นกันค่ะ
ทั้งวีซ่า SIV กับ PIV สองตัวนี้ ปัจจุบันเป็นที่สนใจของนักลงทุนหรือนักธุรกิจที่ยินดีช่วยให้ลูกๆหรือครอบครัวที่เขารักได้พำนักอาศัยอยู่ในประเทศออสเตรเลียอย่างถาวรได้ จนในที่สุด สามารถข้ามฝั่งไปถือสัญชาติออสซี่ได้ในที่สุด ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับคนมีเงิน หากมีท่านใดสนใจวีซ่า SIV หรือ PIV ก็สามารถติดต่อคุณหมอวีซ่า โดยตรงที่ pip@cpinternational.com ได้เลยนะคะ ยินดีดูเคสให้ค่ะกัน แต่ก็ต้องชี้แจงว่ารัฐบาลออสเตรเลีย ไม่ได้รับรองผลตอบแทนจากการลงทุนตรงนี้ให้นะคะ ก็ต้องเป็นไปตาม trend ของตลาดและความสามารถของบริษัทการเงิที่ดูแลเงินของเราด้วยค่ะ ดังนั้นสำหรับลูกค้าที่มีสมรรถนะทางการเงินสูง แต่ไม่มีคุณสมบัติอย่างอื่นเพียงพอ อย่างเช่นไม่ได้มีการจบเรียนสาขาวิชามาจากออสเตรเลีย หรือมีทักษะตามที่ประเทศออสเตรเลียต้องการ หรือไม่มีเวลาไปทำธุรกิจ หรือ สอบภาษาอังกฤษให้ผ่าน ตามเกณฑ์การนับคะแนนในสาขาวีซ่าธุรกิจ
ก่อนจะจบบทความในวันนี้คุณหมอวีซ่าใคร่ขอประชาสัมพันธ์งานที่มีประโยชน์และกำลังจะจัดที่ CP Bangkok ในวันที่ 12 September 2015 นี้ ตั้งแต่เวลา 13.00-15.00 น. ที่สำนักงานของ CP International สาขากรุงเทพฯ นะคะ ดูรายละเอียดจากข้างล่างนี้ได้เลยค่ะ หากท่านผู้อ่านมีลูกหลาน ทั้งของตนเองและญาติมิตรเพื่อนฝูงที่เรารักและห่วงใย ก็สามารถช่วยประชาสัมพันธ์ให้มาร่วมงานที่ CP Bangkok เพื่อวางแผนอนาคตที่ดี ถูกต้องและตรงเป้าหมายให้เขาเสียแต่แรกตั้งแต่ high school เลยนะคะ
สำหรับวันนี้ สวัสดีและขอให้ทุกท่านมีความสุขมากๆนะคะ
คุณหมอวีซ่านำทีม CP Bangkok ไหว้วันสาร์ทจีนที่เมืองไทย
มีคำถามเกี่ยวกับการสมัครหรือสถานะวีซ่าออสเตรเลียของคุณ? ต้องการสมัครเพื่อศึกษาต่อ ทำงาน หรืออาศัยอยู่ในออสเตรเลีย? สามารถขอคำแนะนำจากทีมคุณหมอวีซ่าได้ที่:- ไลน์: @cpinter (ประเทศไทย/ทั่วโลก) หรือ @cpintermel (ออสเตรเลีย)
- โทรศัพท์: +6622781236 (ประเทศไทย) หรือ +61396025355 (ออสเตรเลีย)
- อีเมล: migration@cpinternational.com
- หรือนัดจองเพื่อรับคำปรึกษาจาก Australian Registered Migration Agent หรือที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐานในประเทศไทยได้แล้ววันนี้!