4 December 2014

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน กลับมาพบกับคุณหมอวีซ่าอีกครั้ง ช่วงนี้อากาศร้อนๆ หนาวๆ บางวันก็มีฝน บางวันก็ร้อนอบอ้าว ฝนตกฟ้าผ่าน้ำท่วมหิมะลูกเห็บตก ดูเหมือนผลของ Global warming จะรุนแรงขึ้นทุกปีอยากให้ทุกคนช่วยกันทะนุถนอมทรัพยากรโลก เก็บไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานเราได้ใช้บ้างนะคะ เหลือเวลาอีกเดือนกว่าๆ ก็จะเข้าสู่เทศกาลใหญ่ประจำปี นั่นก็คือคริสมาสต์และปีใหม่และก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของอิมมิเกรชั่นที่ทุกๆ สิ้นปีจะมีการปรับเปลี่ยนแบบฟอร์ม หรือกฎวีซ่าต่างๆ รวมทั้งอาจจะมีการขึ้นราคา เพราฉะนั้นน้องๆ คนไหนที่ไม่อยากเสี่ยงเปิดมาปีหน้าเจอค่าวีซ่าขึ้น ก็ยังทันยื่นวีซ่าภายในปีนี้นะคะ และตลอดสิ้นปีนี้คุณหมอวีซ่าประจำการอยู่ที่ซิดนีย์ ฉนั้นน้องๆที่เรียนจบกันสิ้นปีนี้ ก็เริ่มคิดได้แล้วว่าจะเอาไงกับอนาคตของตนดีหนอจะอยู่ทำงานที่ออสเรเลียต่อ ขอ PR หรือมีช่องทางวีซ่าใดๆไหมก็รีบนัดเข้ามาปรึกษาได้เลยนะคะก่อนที่จะทำอะไรผิดๆโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไป สามารถโทรเข้ามาจองเวลานัดได้เลยนะคะที่ 02-9267-8522 ค่ะ

พอคุณหมอวีซ่ากลับมายังซิดนีย์ก็มีพีอาร์และวีซ่าผ่านกันแทบจะทุกวันเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นวีซ่าทำงาน วีซ่านักเรียนวีซ่าคู่ครองทั้ง temporary และ permanent (ตัวพีอาร์) รวมถึงวีซ่าคู่ครองที่มาจาก family violence หรือปัญหาความรุนแรงภายในครอบครัวด้วย โดยเฉพาะวีซ่าประเภทหลังนะคะซึ่งในช่วงเดียวกันมีน้องๆที่ขอพีอาร์ผ่าน family violence และได้รับพีอาร์พร้อมกันถึง 2 คน รวดเดียวเลย นำความปลื้มปิติยินดีมาให้ทีมงาน CP มากที่มีโอกาสช่วยพลิกอนาคตชีวิตให้กับน้องทั้งสองคนนี้ที่ผ่านมรสุมชีวิตมามากจริงๆ อยากบอกว่า อย่าไปกลัวค่ะ หากเราโดนข่มเหงรังแก ถูกเอารัดเอาเปรียบ มีคนกลางมาแย่งคนรักของเราไป ถูกคู่ครองเราตบตีเพราะกินเหล้าเมายา หรือกระทำชำเราทางเพศก็ทำ แต่ต้องทน เพราะกลัววีซ่าจะหลุด คุณหมอวีซ่าก็ขอปลอบใจว่า อย่าปล่อยให้ตนเองเป็นผู้รับเคราะห์อีกต่อไปเลย การถูกกระทำเหล่านี้ ประเทศออสเตรเลียมีกฎหมายคุ้มครองเรานะคะ ไปคุยปรึกษากับผู้รู้ หรือสมาคมคุ้มครองผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเลยค่ะ หาคนช่วยค่ะ อย่าอยู่นิ่งเฉยและทนทุกข์ทรมาณอีกต่อไปเลยค่ะ มีหนทางช่วยให้เราอยู่ออสฯได้โดยไม่ต้องพึ่งอีกฝ่ายเซ็นค่ะ ในวันนี้คุณหมอวีซ่าจึงขอนำเรื่องราวของน้องสองคนนี้มาบอกกล่าวเพื่อเป็นแรงบันดาลใจและเป็นกำลังใจให้กับน้องๆทุกคนที่ประสบปัญหาทางด้านนี้กันค่ะ

เรื่องราวของน้องเอ (นามสมมุติ) ที่ได้รับคำสัญญาจากแฟนมากมายว่าจะพามาสร้างอนาคตด้วยกันที่ออสเตรเลีย น้องเอและแฟนเจอกันครั้งแรกที่เมืองไทย โดยเอเป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ที่หน้าตาสวยมาก มีเส่ห์ ร้องเพลงเก่ง แต่งตัวดี มาจากตระกูลที่มีอันจะกิน คุณพ่อคุณแม่รักสุดชีวิต ในระหว่างที่เจอกันแฟนของน้องเอก็ได้สัญญาว่าจะจัดงานแต่งงาน ซื้อของนู่นนี่ให้ จะไม่พาไปลำบาก พาไปรู้จักเพื่อนมากมายในระหว่างที่อยู่เมืองไทย จนกระทั่งน้องเอได้มาอยู่ในออสเตรเลียด้วยวีซ่าคู่หมั้น เหตุการณ์ก็เริ่มไม่ปกติเมื่อแฟนน้องเอบอกให้น้องเอไปช่วยทำงานตั้งแต่วันแรกที่มาถึงออสเตรเลีย บอกว่าคนงานขาด เธอไปช่วยฉันหน่อยนะ ในระหว่างที่ทำงานก็เจอทั้งแฟนเก่าของผู้ชายมารังควานแถมผู้ชายยังออกหน้าออกตาคอยปกป้องแฟนเก่าอีกด้วย พอน้องเอมาอยู่ด้วยเป็นเวลาหลายเดือน ผู้ชายก็ไม่มีทีท่าว่าจะจดทะเบียนสมรสด้วย ทางบ้านครอบครัวน้องเอก็ถามตลอดว่าเมื่อไรจะแต่งงาน อยู่มาวันหนึ่งก็พาไปน้องเอไปแต่งงานแต่บอกว่าขอยืมแหวนเพ็ชรที่น้องเอใส่ติดมือมาเป็นแหวนแต่งงานก่อน น้องเอด้วยความที่รักสามีก็ยอมมาตลอด หลังจากแต่งงานแล้วเรื่องราวก็กลับตาลปัตร ตัวแฟนของน้องเอนั้นก็เริ่มมีอารมณ์รุนแรง เมื่อไม่พอใจอะไรก็มักจะเอะอะโวยวายทำลายข้าวของ มีครั้งหนึ่งน้องเอทำเตียงนอนเปื้อน ผู้ชายก็เข้ามาบีบแขนน้องเอเหมือนจะทำร้าย จนตัวน้องเอเป็นจ้ำไปหมด แต่น้องเอก็คิดว่าเราเป็นเมียเค้าแล้วก็ต้องทน ทำกับข้าวไม่ทัน ผู้ชายโวยวายทำร้ายข้าวของ ก็ต้องมาตามเก็บกวาด แถมตอนที่คุณพ่อคุณแม่ของน้องเอมาเยี่ยม ฝ่ายช่ายก็ไม่ต้อนรับดูแล แถมทำท่าทางดูถูกพ่อแม่ฝ่ายหญิงที่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ เหตุการณ์ในเรื่องราวของน้องเอเป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆ โดยเฉพาะฝ่ายชายที่มีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อันเป็นผลมาจากการใช้ยาสเตียรอยด์ เนื่องด้วยฝ่ายชายชอบผู้หญิงที่หุ่นดี หน้าอกใหญ่ ก็บังคับให้น้องเอไปทำหน้าอกและดูดไขมัน ด้วยความที่รักแฟนมาก น้องเอก็ยอมไปทำให้ทุกอย่าง ในระหว่างที่กลับไทยไปทำนี่เอง ฝ่ายชายก็ได้ไปเจอผู้หญิงคนใหม่และก็ไล่น้องเอออกจากบ้าน พอฝ่ายอยากจะมีเพศสัมพันธ์ก็เรียกน้องเอกลับมา สร้างความทุกข์ให้กับตัวน้องเอเป็นอย่างมาก แถมอยู่มาวันหนึ่งก็มาทราบว่าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ แอบแทงข้างหลังโดยการแย่งแฟนตัวเองไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาน้องเอคิดว่า ตัวน้องเอเป็นภรรยา จำเป็นที่จะต้องทนทุกอย่าง ด้วยความรักและความเป็นภรรยาที่ดี พอโดนไล่ออกจากบ้าน ฝ่ายชายก็มาเรียกเอาของคืนไปทุกอย่าง น้องเอก็คิดว่าสาเหตุที่ฝ่ายชายพาตัวเองมาที่นี่ก็เพราะต้องการหาคนมาคอยรับใช้ มาทำงานให้โดยไม่จำเป็นต้องเสียเงินแพงๆ จ่ายค่าจ้าง ในช่วงแรกที่เกิดเหตุ น้องเอก็ผ่ายผอม หมอจำเป็นต้องจ่ายยาความดันให้ รวมถึงยานอนหลับ น่าสงสารค่ะ

น้องเอโทรมาปรึกษากับคุณหมอวีซ่าถึงการสมัครวีซ่า เพราะทราบมาว่าสามารถขอพีอาร์ได้ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงภายในครอบครัวขึ้น และเมื่อได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดก็คิดว่าพอมีช่องทางที่จะช่วยน้องเอได้ จึงส่งน้องเอไปเจอผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการประเมินอาการของน้องเอ ซึ่งเป็นบุคคลที่สามารถเขียนรายงานตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าจะเป็นจิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ แพทย์ ตำรวจ และอื่นๆ ก็ตาม เพื่อเอารายงานมาประกอบว่าน้องเอนั้นได้รับผลกระทบจากความรุนแรงภายในครอบครัวจริง โดยทั่วไปแล้ว หากผู้ถูกทำร้าย โดยเฉพาะถูกทำร้ายร่างกาย คุณหมอวีซ่าก็อยากแนะนำให้ไปแจ้งความ และขอเอกสารจากศาลที่เรียกว่า Apprehended Violence Order มาเก็บไว้ ก็จะสามารถใช้เป็นเอกสารประกอบที่ดีมากเช่นกัน และหลังจากที่ส่งเอกสารไปประกอบแล้ว ถ้าหากทางอิมมิเกรชั่นไม่เชื่อ ก็ต้องมีการส่งตัวไปหาจิตแพทย์ที่ทางอิมมิเกรชั่นเป็นคนจัดหามา หรือที่เรียกว่า independent person เพื่อใช้ประกอบในการพิจารณาวีซ่า เพิ่มเติมอีก ทางน้องเอก็ได้ส่งเอกสารทั้งหมดให้กับทางอิมมิเกรชั่น หลังจากที่รอเป็นเวลาเกือบ 1 ปี ทางอิมมิเกรชั่นก็เรียกขอใบรับรองความประพฤติของประเทศออสเตรเลีย (ใบตำรวจ) หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันน้องเอก็ได้รับพีอาร์เป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะครบกำหนด TR 2 ปีด้วยซ้ำไป สามารถสานฝันในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ น้องเออยากสมัครไปประกวดร้องเพลง คุณหมอวีซ่าขอเป็นกำลังใจให้ความฝันเป็นความจริงนะคะ ตอนนี้ ก็ขยันทำงานเก็บเงินเพื่ออนาคตที่สดใสในออสเตรเลียค่ะ

เรื่องราวของน้องอีกคนที่ได้พีอาร์จาก domestic violence ก็คือเรื่องของน้องบี (นามสมมุติ) น้องบีนั้นเป็นหญิงเพศสามและเป็นลูกค้าเก่าแก่ที่คุณหมอวีซ่ารักและถนอมมานมนาน ตั้งแต่คุณหมอวีซ่าช่วยให้ได้วีซ่านักเรียนกลับคืนมา จนถึงยื่นวีซ่า partner และได้พีอาร์จาก domestic violence ในที่สุด น้องบีนั้นมีความสัมพันธ์กับแฟน (แบบคู่รักเพศเดียวกัน) เป็นเวลากว่า 4 ปี ก็คิดว่าถึงเวลาที่จะยื่นวีซ่า partner แล้ว หลังจากที่ยื่นก็ไม่ได้รับการติดต่อจากน้องบี เลย จนกระทั่งวันหนึ่งน้องบีก็โทรมาร้องห่มร้องไห้ว่าโดนแฟนทำร้าย เนื่องจากแฟนเมายาและเหล้า ไม่สามารถควบคุมอารมณ์สติได้ พอหากุญแจรถไม่เจอ ก็ทำเสียงข่มขู่ใส่น้องบี พยายามจะบีบคอและไล่เตะ โชคดีที่มีคนเดินผ่านมา ได้พยายามเข้ามาช่วยเหลือน้องบีและอยู่เป็นเพื่อนน้องบีจนตำรวจมาถึงสถานที่เกิดเหตุ น้องบีเองนั้นก็แจ้งตำรวจไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจตั้งใจจะส่งเรื่อง domestic violence order ต่อไปยังศาล แต่ด้วยความที่รักแฟนมาก น้องบีก็ทน ไม่ยอมให้ตำรวจนำเรื่องนี้ส่งขึ้นศาล ได้แต่รายงานเหตุการณ์เอาไว้ ตลอดระยะเวลาความสัมพันธ์ แฟนของน้องบีก็มักจะเจ้าชู้จีบผู้หญิงไปเรื่อย สร้างความช้ำใจให้กับน้องบีมาก พอน้องบีไม่สนใจก็เรียกร้องความสนใจ และทุกครั้งน้องบีก็จะกลับไปหาด้วยเพราะความรัก

อยู่มาวันหนึ่งในระหว่างที่น้องบีขับรถไปเยี่ยมคุณแม่ของแฟนที่เมืองๆหนึ่ง ก็เจอแฟนเดินมากับผู้หญิงคนใหม่ จึงจอดรถและเดินไปคุยด้วย อยู่ดีๆ ผู้ชายเก็เหมือนมีอาการโดยการเอากาแฟราดบนหัวน้องบีและหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ชุลมุน ฝ่ายชายพยายามเข้าไปทำร้ายน้องบี น้องบีเองก็ต้องป้องกันตัวกลับ จนทำให้เล็บหัก มีรอยช้ำที่ไหล่และตรงคอ และฝ่ายชายก็เดินจากไปพร้อมกับผู้หญิงคนใหม่ ทิ้งน้องบีไว้ตรงนั้นแต่เพียงผู้เดียว เมื่อตำรวจมาถึง น้องบีก็เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และทางตำรวจก็ได้ออก domestic violence order อีกฉบับ โดยคราวนี้เป็นแบบ permanent หมายความว่าฝ่ายชายไม่สามารถเข้าใกล้น้องบีได้อีกต่อไป เมื่อน้องบีเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยครั้งก็ยากที่จะทนอีกต่อไป จึงตัดสินใจโทรหาคุณหมอวีซ่าขอคำปรึกษาเพราะตอนนั้นตัวเองก็ถือเพียงแค่ Bridging Visa A รอวีซ่า partner อยู่ แต่ว่าตัวเองไม่สามารถทนเป็นกระสอบทรายให้ฝ่ายชายซ้อมได้อีกต่อไป คุณหมอวีซ่าและทีมงานจึงช่วยน้องบีโดยการทำเรื่องเข้าไปที่อิมมิเกรชั่น และหารายงานจากจิตแพทย์พร้อมหลักฐานอื่นๆมาประกอบในการขอพีอาร์ ผ่าน family violence
ให้น้องบี รอเพียงแค่ 3 เดือน น้องบีก็ได้รับพีอาร์เป็นคนที่นี่เรียบร้อยโดยไม่จำเป็นจะต้องถือทีอาร์ TR 2 ปีเหมือนกับคนอื่นๆ

เรื่องราวของน้องทั้งสองคนนั้นได้รับการอนุญาตเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ น้องทั้งสองขอให้คุณหมอวีซ่านำเรื่องราวมาเขียนบอกกล่าวคนอื่นๆเพื่อเป็นกำลังใจและสร้างความหวังให้กับคนที่กำลังจะสิ้นหวังกับชีวิตที่ทนทุกข์ทรมาณกัน โดย ถ้าหากเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ในครอบครัวก็อย่าได้ทน เพราะทุกเหตุการณ์มีทางออกเสมอ หรืออย่างบางคนที่มองว่าคู่เพศที่สามมักจะไม่ได้รับความเท่าเทียมกันในสังคม อิมมิเกรชั่นคงจะไม่เห็นใจ ตัวอย่างของน้องบีก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วนะคะ น้องๆผู้อ่านท่านไหนที่กำลังประสบเหตุการณ์เหมือนน้องทั้งสอง ก็อย่าได้เก็บไว้คนเดียว สามารถโทรเข้ามาปรึกษากับคุณหมอวีซ่าได้เสมอ หรือจะติดต่อไปที่สมาคม Thai Welfare ก็ได้ หรือจะเป็นสถานกงสุลไทย หรือสถานทูตไทยก็ตาม เหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวถือเป็นเรื่องใหญ่นะคะ ในหลายๆเคสแล้วที่เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ ฝ่ายหญิงบางคนถึงกับฆ่าตัวตายเพราะโดยผู้ชายกระทำชำเราและไม่รู้ว่ามีทางออกได้ หรืออย่างเร็วๆนี้ที่ผู้หญิงข้ามเพศชาวอินโดนีเซียก็โดนฆ่าและนำไปต้มเป็นอาหารโดยคู่รักชาวออสเตรเลีย น่ากลัวนะคะ อย่าลืมว่าทุกปัญหามีทางออกค่ะ ขอให้ไปขอความช่วยเหลือเถอะนะ อย่าเก็บไว้เงียบๆเพียงคนเดียว

ด้วยความปรารถนาดี…
จาก คุณหมอวีซ่า

มีคำถามเกี่ยวกับการสมัครหรือสถานะวีซ่าออสเตรเลียของคุณ? ต้องการสมัครเพื่อศึกษาต่อ ทำงาน หรืออาศัยอยู่ในออสเตรเลีย? สามารถขอคำแนะนำจากทีมคุณหมอวีซ่าได้ที่: